วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2561

บทที่ 3 โครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยีสารสนเทศ



ระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน ประกอบด้วยส่วนประกอบที่สำคัญ 5 ส่วน ดังนี้
1.หน่วยรับข้อมูลเข้า ( input unit )
2. หน่วยประมวลผลกลาง ( central processor unit ) หรือ CPU
3. หน่วยความจำหลัก (Main Memory Unit)
4 .หน่วยแสดงผล  (output unit )
5. หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (secondary storage unit ) 

การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์
หน่วยรับข้อมูล จะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับข้อมูลต่าง ๆ เข้าสู่คอมพิวเตอร์ จากนั้น หน่วยประมวลผลกลาง จะนำไปประมวลผล และแสดงผลลัพธ์ที่ได้ออกมากให้ผู้ใช้รับทราบทาง หน่วยแสดงผลลัพธ์   หน่วยความจำหลัก จะทำหน้าที่เสมือนเก็บข้อมูลชั่วคราวที่มีขนาดไม่สูงมากนักการที่ฮาร์ดแวร์จะทำหน้าที่ได้มีประสิทธิภาพนั้นขึ้นอยู่กับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ ส่วนการทำงานได้มากน้อยเพียงใด จะขึ้นอยู่กับหน่วยความจำหลักของเครื่องนั้น ๆ ข้อเสียของหน่วยความจำ หลัก คือ หากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในหน่วยความจำหลักจะหายไป ในขณะที่ข้อมูลอยู่ที่ หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง จะไม่สูญหายตราบเท่าที่ผู้ใช้ไม่ทำการลบข้อมูลนั้น รวมทั้งหน่วยเก็บข้อมูลสำรองยังมีความจุที่สูงมาก จึงเหมาะสำหรับการเก็บข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ หรือเก็บข้อมูลไว้ใช้ในภายหลัง ข้อเสียของหน่วยเก็บข้อมูลสำรองคือการเรียกใช้ข้อมูลจะช้ากว่าหน่วยความจำหลักมาก


หน้าที่การทำงานของส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ ดังนี้
1.หน่วยประมวลผลกลาง  หรือซีพียู (CPU : Central Processing Unit) ทำหน้าที่ในการทำงานตามคำสั่งที่ปรากฏอยู่ในโปรแกรม ปัจจุบันซีพียูของเครื่องพีซี รู้จักในนามไมโครโปรเซสเซอร์(Micro Processor) ไมโครโปรเซสเซอร์ มีหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูล ในลักษณะของการคำนวณและเปรียบเทียบ โดยจะทำงานตามจังหวะเวลาที่แน่นอน เรียกว่าสัญญาณClockเมื่อมีการเคาะจังหวะหนึ่งครั้ง ก็จะเกิดกิจกรรม1ครั้ง เราเรียกหน่วยที่ใช้ในการวัดความเร็วของซีพียูว่า เฮิร์ท”(Herzt)
ส่วนประกอบของหน่วยประมวลผลกลาง ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ 
                                      1.1 หน่วยควบคุม (Control Unit: CU) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ทุกส่วน โดยจะดูแลเวลาในการประมวลผลตามคำสั่งที่ได้รับ ให้มีการประมวลผลเป็นจังหวะตามสัญญาณนาฬิกา 
                                      1.2 หน่วยคำนวณและตรรกะ (Arithmetic Logic Unit: ALU) ทำหน้าที่คำนวณทางคณิตศาสตร์เช่น บวก ลบ คูณ หาร และเปรียบเทียบค่าของข้อมูลทางตรรกศาสตร์ เช่น มากกว่า น้อยกว่า เป็นต้น
2.หน่วยความจำหลัก (Main Memory Unit) ทำหน้าที่เก็บโปรแกรมหรือข้อมูลที่รับมาจากหน่วยรับข้อมูลเพื่อเตรียมส่งให้หน่วยประมวลผลกลางทำการประมวลผล และรับผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลเพื่อส่งออกหน่วยแสดงข้อมูลต่อไป
หน่วยความจำหลักแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
                2.1 หน่วยความจำแรม (Random Access Memory : RAM) เป็นหน่วยความจำที่จัดเก็บข้อมูลในขณะที่ซีพียูกำลังประมวลผล หรือเมื่อเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ดังนั้นหน่วยความจำประเภทนี้ ต้องอาศัยกระแสไฟฟ้าในการทำงานเพื่อไม่ให้ข้อมูลสูญหาย หรืออาจเรียกว่า หน่วยความจำแบบลบเลือนได้ (volatile memory) ซึ่งหากเกิดไฟฟ้าดับ ข้อมูลที่อยู่ในหน่วย
ความจำจะหายไปจะถูกลบหายไปทันทีเมื่อปิดคอมพิวเตอร์
              2.2 หน่วยความจำรอม (Read Only Memory : ROM) เป็นหน่วยความจำที่บริษัทผู้ผลิตได้ติดตั้งชุดคำสั่งสำหรับใช้ในการเริ่มต้นการทำงานหรือชุดคำสั่งที่สำคัญ ๆ ของระบบคอมพิวเตอร์โดยรอมมีคุณสมบัติในการเก็บข้อมูลไว้ตลอดโดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้าเลี้ยง (non volatile) นั่นคือเมื่อปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ไปแล้ว และเปิดเครื่องใหม่ข้อมูลในรอมจะไม่สูญหาย ยังคงอยู่เหมือนเดิมแต่รอมจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมชุดคำสั่งโดยผู้ใช้ได้ เพราะเป็นชุดคำสั่งที่ติดตั้งในรอมอย่างถาวร มาตั้งแต่การผลิตของบริษัท เรียกว่า เฟิร์มแวร์ (firmware)
3.หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (secondary storage unit )  ทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ ไว้เพื่อให้สามารถนำข้อมูล ชุดคำสั่ง หรือซอฟต์แวร์นั้น ๆ กลับมาใช้ใหม่ในอนาคตได้ ข้อมูลที่อยู่ในหน่วยความจำสำรองมีทั้งที่เป็นข้อมูลดิบที่ยังไม่ผ่านการประมวลผลและสารสนเทศต่าง ๆ มักมีขนาดใหญ่กว่าข้อมูลที่บันทึกในหน่วยความจำหลัก
ปัจจุบันมีสื่อที่ผลิตมาสำหรับใช้เก็บข้อมูลสำรองหลากหลายชนิด ซึ่งพอจะแบ่งตามรูปแบบของสื่อที่เก็บข้อมูลออกได้เป็น 4 ประเภท
3.1สื่อเก็บข้อมูลแบบจานแม่เหล็ก ( Magnetic Disk device ) เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลประเภทที่ใช้งานเป็นลักษณะของจานบันทึก (disk ) ซึ่งมี ดังนี้
                 ฟล็อปปี้ดิสก์ ( Floppy disks ) 
                 ฮาร์ดดิสก์ ( Hard disks ) 
3.2 สื่อเก็บข้อมูลแสง ( Optical Storage Device ) เป็นสื่อเก็บข้อมูลสำรองที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ซึ่งใช้หลักการทำงานของแสงเข้ามาช่วย การจัดเก็บข้อมูลจะคล้ายกับแผ่นจาน ซึ่งมี ดังนี้         
                3.2.1 CD (Compact Disc) 
                                CD-ROM (Compact disc read only memory) 
                                CD-R (Compact disc recordable) 
                                CD-RW (Compact disc rewritable) 
                3.2.2 DVD (Digital Versatile Disc/Digital Video Disc) 
                          DVD-ROM 
                                 DVD-R และ DVD-RW 
                                 DVD+R และ DVD+RW 
3.3สื่อบันทึกข้อมูลแบบเทป ( Tape device ) เป็นอุปกรณ์เก็บบันทึกข้อมูลที่เหมาะสำหรับการสำรองข้อมูล ( backup ) ซึ่งมีราคาถูกและเก็บข้อมูลได้จำนวนมาก มีลักษณะการเข้าถึงข้อมูลแบบเรียงลำดับต่อเนื่องกันไป (sequential access ) เหมือนกับการฟังเทปเพลงที่เราไม่สามารถข้ามเพลงฟังได้ หากต้องการข้ามเพลงใดเพลงหนึ่งก็ต้องใช้การกรอเทปช่วยนั่นเอง เทปที่ใช้ในการเก็บข้อมูลนี้มีการผลิตขึ้นมาหลายขนาดแตกต่างกันไป ซึ่งพอจะสรุปแบบที่นิยมใช้ได้ตามตาราง ดังนี้

3.4สื่อเก็บข้อมูลอื่น ๆ ( Other Storage Device ) อุปกรณ์หน่วยความจำแบบแฟรช ( Flash memory device ) ปัจจุบันนำมาใช้บันทึกแทนสื่อเก็บข้อมูลแบบดิสก์เก็ตมากขึ้น เพราะจุข้อมูลได้มากกว่า นิยมใช้กับเครื่องพีซีและคอมพิวเตอร์แบบพกพาทั่วไป มีชื่อเรียกแตกต่างกัน เช่น flash drive, thumb drive หรือ handy drive โดยสามารถต่อพ่วงเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์และอ่านค่าข้อมูลนั้นได้โดยตรง
4.หน่วยรับข้อมูลเข้า ( input unit ) ทำหน้าที่รับข้อมูลจากผู้ใช้สู่คอมพิวเตอร์เช่น ตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์ เป็นต้น โดยจะแปลงข้อมูลให้ไปอยู่ในรูปของสัญญาณไฟฟ้าที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ นำมาจัดเก็บที่หน่วยความจำหลัก และใช้ประมวลผลได้ อุปกรณ์หน่วยรับข้อมูล มี 6 ประเภทดังนี้
1. อุปกรณ์แบบกด (Keyed Device)     
                คีย์บอร์ด
 (Keyboard) เป็นอุปกรณ์นำข้อมูลเข้าที่นิยมใช้กันมากที่สุดและพบเห็นในการใช้งานทั่วไป โดยรับข้อมูลป้อนเข้าที่เป็นตัวอักษร อักขระพิเศษ ตัวเลข รวมถึงชุดคำสั่งต่าง ๆ ตัวอุปกรณ์จะมีกลุ่มของแป้นพิมพ์วางเรียงต่อกันเหมือนกับเครื่องพิมพ์ดีด ผู้ใช้งานสามารถเลือกกดปุ่มใด ๆ ได้ทันที โดยข้อมูลทั้งหมดที่ป้อนเข้ามาจะถูกส่งเข้าไปเก็บยังหน่วยความจำของระบบและแปลงให้เป็นรหัสที่คอมพิวเตอร์เข้าใจเสียก่อน จากนั้นจึงจะนำไปประมวลผลต่อไป
2. อุปกรณ์ชี้ตำแหน่ง (Pointing Device) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ชี้ตำแหน่งการทำงานรวมถึงสั่งการให้คอมพิวเตอร์ทำงานบางคำสั่งที่มีการโต้ตอบกันระหว่างผู้ใช้กับคอมพิวเตอร์
                 เมาส์ ( Mouse ) 
                ลูกกลมควบคุม (Track ball)
                 แท่งชี้ควบคุมหรือพอยติงสติ๊ก ( Pointing stick )
                จอยสติ๊ก ( Joystick )
                 แผ่นรองสัมผัสหรือทัชแพด ( Touch pad )
                 จอสัมผัสหรือทัชสกรีน ( Touch screen )
                 พวงมาลัยพังคับทิศทาง (Wheel)  
3. ประเภทปากกา ( Pen-Based Device ) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการกำหนดตำแหน่งบนจอภาพรวมถึงการป้อนข้อมูลเข้าแทนแป้นพิมพ์
                ปากกาแสง ( Light pen
                 ดิจิไทเซอร์ ( Digitizer )
                 สไตลัส ( Stylus )
4. ประเภทข้อมูลมัลติมีเดีย ( Multimedia Input Device) เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลประเภทเสียงพูดหรือรูปภายวิดีโอ เข้าสู่ระบบ ใช้บันทึกหรืออัดข้อมูลเสียงหรือถ่ายทำงานจะใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์ด้านมัลติมีเดีย
                 ไมโครโฟน ( Microphone )
                 กล้องถ่ายวิดีโอดิจิตอล ( Digital Video camera )
                 กล้องถ่ายรูปดิจิตอล ( Digital camera )
                เว็บแคม ( Web cam )
 5. ประเภทสแกนและอ่านข้อมูลด้วยแสง(Scanner and Optical Reader)  เป็นอุปกรณ์อ่านข้อมูลประเภทภาพถ่าย โดยผู้ใช้สั่งให้เครื่องอ่านหรือสแกน
                 สแกนเนอร์ ( Scanner )
                 โอเอ็มอาร์ ( OMR – Optical Mark Reader )
                 เครื่องอ่านบาร์โค้ด ( Bar code reader )
                 เอ็มไอซีอาร์ ( MICR – Magnetic-Ink Character Recognition )
6. ประเภทตรวจสอบข้อมูลทางกายภาพ ( Biometric Input Device )
                ไบโอเมตริกส์ ( biometric ) เป็นลักษณะของการตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวบุคคลเฉพาะอย่าง เช่น ลายนิ้วมือ รูปแบบของม่านตา (เรตินา - ratina ) ฝ่ามือ หรือแม้กระทั่งเสียงพูด ซึ่งนำมาใช้กับงานป้องกันและรักษาความปลอดภัยในหน่วยงานที่ต้องการความปลอดภัยในระดับสูง เนื่องจากระบบการตรวจสอบประเภทนี้จะปลอมแปลงได้ยาก เครื่องที่ใช้อ่านข้อมูลพวกนี้จะมีอยู่หลายประเภทขึ้นอยู่กับลักษณะการตรวจสอบ เช่น เครื่องอ่านลายนิ้วมือ เครื่องตรวจม่านตา เครื่องวิเคราะห์เสียงพูด เป็นต้น

5.หน่วยแสดงผล  (output unit )ทำหน้าที่ติดต่อสื่อสารและแสดงผลต่อผู้ใช้ ทั้งในขณะที่ทำการประมวลผลและหลังจากการประมวลผลเสร็จแล้ว ซึ่งจะรับสารสนเทศที่ได้จากหน่วยประมวลผลกลางมาแปลงให้เป็นข้อมูลหรือสารสนเทศในรูปแบบที่ผู้ใช้เข้าใจ โดยทั่วไปจะใช้จอภาพ (Monitor) เพื่อติดต่อสื่อสารกับผู้ใช้เป็นหลัก  หน่วยแสดงผล ออกได้เป็น 3 ประเภทดังนี้
              1. อุปกรณ์แสดงผลหน้าจอ ( Display device ) เป็นอุปกรณ์สำหรับการแสดงผลในรูปแบบกราฟิกและผู้ใช้สามารถเห็นผลลัพธ์ได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อไฟดับหรือปิดการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ลงไปจะไม่สามารถเห็นได้อีก บางครั้งนิยมเรียกอุปกรณ์ประเภทนี้ว่า soft copy นั่นเอง เช่นเทอร์มินอล ( Terminal )  จอซีอาร์ที ( CRT Monitor ) จอแอลซีดี ( LCD Monitor )  โปรเจคเตอร์ ( Projector )
                2. อุปกรณ์สำหรับพิมพ์งาน ( Print Device ) เป็นอุปกรณ์การแสดงผลที่แสดงออกมาให้อยู่ในรูปแบบข้อมูล รายงาน รูปภาพ หรือแผนที่ซึ่งสามารถจับต้องหรือเก็บรักษาไว้ได้อย่างถาวร นิยมเรียกอุปกรณ์เหล่านี้ Hard copy อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องสำหรับการพิมพ์งาน เช่น  เครื่องพิมพ์แบบดอทเมตริกซ์( Dot matrix Printer )   เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์( Laser Printer )    เครื่องพิมพ์แบบอิงค์เจ็ต ( Ink-jet Printer )     พลอตเตอร์ ( Plotter ) 
                3. อุปกรณ์ขับเสียง ( Audio Device )
 ลำโพง ( Speaker ) ข้อมูลที่เป็นแบบเสียงจะไม่สามารถแสดงผลลัพธ์ไปยังจอภาพของคอมพิวเตอร์ได้ แต่จะอาศัยอุปกรณ์แสดงผลเฉพาะที่เรียกว่า ลำโพง ( speaker ) เพื่อช่วยขับเสียงออก
 หูฟัง ( Headphone ) เป็นอุปกรณ์สำหรับรับฟังข้อมูลประเภทเสียงเช่นเดียวกัน นิยมใช้สำหรับการฟังเสียง เช่น ฟังเพลง หรือเสียงประกอบภาพยนตร์ที่เป็นแบบส่วนตัว

เหตุผลที่ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ 
                เทคโนโลยีฮาร์ดแวร์  มีบทบาทหลักในการช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและช่วยให้การดำเนินกิจกรรมการทำงาน กระบวนการ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรสะดวกยิ่งขึ้น หรือช่วยลดต้นทุนลง หรืออาจกล่าวได้ว่า การเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ ทำให้รู้ว่าเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์แบบไหนที่เหมาะกับองค์กรและตอบสนองความต้องการขององค์กรได้มากที่สุด รู้วิธีใช้ วิธีการแก้ปัญหา ดังนั้นผู้บริหารจึงควรให้ความสนใจ จึงควรเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ ทั้งที่เกี่ยวข้องกับงาน และที่เกี่ยวข้องกับองค์กร  เป็นปัจจัยสนับสนุนให้องค์กรก้าวสู่ความเป็นผู้นำทางด้านธุรกิจอีกด้วย
หลักในการตัดสินใจเลือกซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ของผู้บริหาร
  สำรวจระดับการใช้งานคอมพิวเตอร์
                 สำหรับผู้ใช้งานในองค์กรจะคล้ายกับผู้ใช้มือใหม่ตรงที่ไม่ต้องการคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก เน้นประสิทธิภาพการทำงานของคอมพิวเตอร์ เน้นการทำงานเอกสารหรืออาจจะใช้โปรแกรมสำเร็จของบริษัท มีงานกราฟิก งานเขียนโปรแกรม  การทำงานได้ตามหน้าที่ที่กำหนด คอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมที่ความเร็วในการใช้งานที่ค่อนข้างสูงในระดับหนึ่งและการปรับขยายขีดความสามารถของเครื่องเพื่อรับรองการใช้งานในอนาคต  
                 ดังนั้นก่อนอื่นควรศึกษาและสำรวจอุปกรณ์ต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ก่อนว่า แต่ละอย่างมีคุณสมบัติอย่างไร และราคาเท่าไร จากนั้นจึงหันกลับมาดูถึงความต้องการว่าจะซื้อคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานอะไรอย่างไร ความสามารถในการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อื่นได้ การบำรุงรักษา จากนั้นจึงเลือกสเปคให้พอดีกับความต้องการขององค์กร ส่วนเรื่องบริษัทที่ผลิต (ยี่ห้อ) และราคาจะเป็นปัจจัยในการเลือกรองลงมา
การสำรวจราคา
                 เมื่อผู้ใช้กำหนดคุณลักษณะของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ตรงตามความต้องการแล้ว ผู้ใช้สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับราคาของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้จากร้านขายเครื่องคอมพิวเตอร์หรือศูนย์คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ แล้วนำราคาแต่ละแหล่งมาเปรียบเทียบ เพื่อให้ได้ราคาที่เหมาะสมและคุ้มค่ามากที่สุด รวมทั้งตรงกับคุณลักษณะของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการด้วย 
การสำรวจบริการหลังการขาย
               ควรซื้อจากบริษัทที่มีความมั่นคงอาจจะมีการธุรกิจร่วมกันไปอีกนานเพื่อกรใช้บริการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง  โดยดูระยะเวลารับประกันของอุปกรณ์ต่าง ๆ และการบริการหลังการขาย เช่น หากเครื่องคอมพิวเตอร์มีปัญญาผู้บริหารสามารถแจ้งทางบริษัทเพื่อแก้ไขปัญหาได้

วิวัฒนาการของโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที
                โครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีในองค์กรในปัจจุบันเป็นวิวัฒนาการของวิวัฒนาการของแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ในวิวัฒนาการนี้มีห้าขั้นตอนซึ่งแต่ละส่วนมีการกำหนดค่าองค์ประกอบการประมวลผลและองค์ประกอบด้านโครงสร้างพื้นฐานที่แตกต่างกัน ห้ายุคที่เป็นเมนเฟรมวัตถุประสงค์ทั่วไปและคอมพิวเตอร์มินิคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครือข่ายลูกค้า / เซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ขององค์กรและเมฆและคอมพิวเตอร์มือถือ เทคโนโลยีที่ใช้ในยุคหนึ่งอาจใช้ในช่วงเวลาอื่นเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ตัวอย่างเช่นบาง บริษัท ยังคงใช้ระบบเมนเฟรมแบบดั้งเดิมหรือใช้คอมพิวเตอร์เมนเฟรมเป็นเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ที่สนับสนุนเว็บไซต์ขนาดใหญ่และแอพพลิเคชั่นระดับองค์กร
GeneralPurpose Mainframe and Minicomputer Era:  (1959 to Present)
                เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ทั่วไปและยุคมิคคอมพิวเตอร์: (พ.ศ. 2502 ถึงปัจจุบัน) การแนะนำของ IBM 1401 และ 7090 เครื่อง transistorized ในปี 1959 เป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ในเชิงพาณิชย์อย่างกว้างขวางของเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ ในปี พ.ศ. 2508 เครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมได้ก้าวเข้าสู่ตลาดด้วยการเปิดตัวชุดผลิตภัณฑ์ไอบีเอ็ม 360 คอมพิวเตอร์เมนเฟรมมีประสิทธิภาพมากพอที่จะรองรับเครื่องนับพันแบบออนไลน์ที่เชื่อมต่อกับเมนเฟรมที่รวมศูนย์โดยใช้โปรโตคอลการสื่อสารที่เป็นกรรมสิทธิ์และสายข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์
Personal Computer Era: (1981 to Present)
             ยุคคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล: (1981 ถึงปัจจุบัน) การขยายตัวของพีซีในทศวรรษที่ 1980 และต้นทศวรรษ 1990 เปิดตัวเครื่องมือซอฟต์แวร์ประมวลผลคำสเปรดชีตซอฟต์แวร์การนำเสนออิเล็กทรอนิกส์และโปรแกรมการจัดการข้อมูลขนาดเล็กซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับทั้งผู้ใช้ในบ้านและในองค์กร พีซีเหล่านี้เป็นระบบแบบสแตนด์อะโลนจนกระทั่งซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ PC ในปี 1990 ทำให้สามารถเชื่อมโยงเข้ากับเครือข่ายได้
Client/Server Era (1983 to Present)
       (พ.ศ. 2526 ถึงปัจจุบัน) ในการประมวลผลแบบไคลเอ็นต์ / เซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปหรือแล็ปท็อปที่เรียกว่าไคลเอ็นต์จะเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพซึ่งให้คอมพิวเตอร์ไคลเอ็นต์ที่มีบริการและความสามารถที่หลากหลาย 
     การประมวลผลคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็นสองประเภทนี้ ไคลเอ็นต์เป็นจุดเข้าใช้งานโดยที่เซิร์ฟเวอร์มักจะประมวลผลและเก็บข้อมูลที่ใช้ร่วมกันทำหน้าที่เว็บเพจหรือจัดการกิจกรรมบนเครือข่าย คำว่า " เซิร์ฟเวอร์ ""หมายถึงทั้งแอพพลิเคชั่นซอฟต์แวร์และคอมพิวเตอร์ทางกายภาพที่ใช้งานซอฟต์แวร์เครือข่าย เซิร์ฟเวอร์อาจเป็นเมนเฟรม แต่วันนี้คอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์มักเป็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลโดยใช้ชิปที่ไม่แพงและมักใช้โปรเซสเซอร์หลายตัวในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวหรือใน racks ของเซิร์ฟเวอร์
Enterprise Computing Era (1992 to Present)
          ยุคคอมพิวเตอร์องค์กร (พ.ศ. 2535 ถึงปัจจุบัน)ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 บริษัท ต่าง ๆได้หันมาใช้ระบบเครือข่ายมาตรฐานและเครื่องมือซอฟต์แวร์ที่สามารถผสานรวมเครือข่ายและแอพพลิเคชั่นที่แตกต่างกันไปทั่วทั้งองค์กรเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานขององค์กร เมื่ออินเทอร์เน็ตพัฒนาสู่สภาพแวดล้อมการติดต่อสื่อสารที่เชื่อถือได้หลังจากปี 2538 บริษัท ธุรกิจเริ่มใช้มาตรฐานเครือข่ายการควบคุมการรับส่ง / อินเทอร์เน็ตโพรโทคอล (TCP / IP)อย่างจริงจังเพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายที่แตกต่างกันไป
Cloud and Mobile Computing Era (2000 to Present)
            คลาวด์และยุคคอมพิวเตอร์มือถือ (พ.ศ. 2543 ถึงปัจจุบัน) "Cloud Computing Model" Cloud computing หมายถึงรูปแบบการประมวลผลที่ช่วยให้สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ใช้ร่วมกันได้ (คอมพิวเตอร์, การจัดเก็บแอพพลิเคชั่นและบริการ) ผ่านทางเครือข่ายซึ่งมักเป็นอินเทอร์เน็ต คุณสามารถเข้าถึง "เมฆ" ทรัพยากรทางการคอมพิวเตอร์เหล่านี้ได้ตามต้องการจากอุปกรณ์และสถานที่ที่เชื่อมต่อกัน

เทคโนโลยีที่เป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างพื้นฐาน IT
(The Technology Driver Of IT Infrastructure Change)
1. Moore’s Law and Microprocessing Power
            กฎของ MOORE และ MICROPROCESSING POWER ในปีพศ. 2508 กอร์ดอนมัวร์ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยแฟร์ไชลด์เซมิคอนดักเตอร์และ Laboratories พัฒนาซึ่งเป็นผู้ผลิตวงจรรวมในช่วงต้นเขียนใน Elect-ronics ว่าตั้งแต่ชิปไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกที่นำมาใช้ในปีพ. ศ. 2502 จำนวนส่วนประกอบบนชิปที่มีต้นทุนผู้ผลิตน้อยที่สุดต่อส่วนประกอบ (โดยทั่วไปทรานซิสเตอร์) ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในแต่ละปี การยืนยันนี้กลายเป็นรากฐานของกฎของมัวร์ มัวร์ลดอัตราการเติบโตลงเป็นสองเท่าทุก ๆ สองปี กฎนี้จะตีความในหลาย ๆ ด้าน มีอย่างน้อยสามรูปแบบของกฎมัวร์
  • ความสามารถของไมโครโพรเซสเซอร์จะเพิ่มขึ้น 2 เท่า ในทุกๆ 18 เดือน                                                                                              • ความสามารถการประมวลผลจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทุกๆ 18 เดือน                                                                                                  • ราคาของซีพียูจะลดลงครึ่งหนึ่งในทุกๆ 18 เดือน
แสดงความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนทรานซิสเตอร์กับไมโครโปรเซสเซอร์และคำแนะนำนับล้านต่อวินาที (MIPS)

 แสดงการลดลงของค่าทรานซิสเตอร์และเพิ่มขึ้นพลังการประมวลผลมีเหตุผลที่จะเชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของจำนวนทรานซิสเตอร์และพลังของโปรเซสเซอร์ควบคู่ไปกับการลดลงของค่าใช้จ่ายในการคำนวณจะลดลง

2.
The Law of Mass Digital Storage
                กฎของการจัดเก็บข้อมูลดิจิตอล ไดรเวอร์เทคโนโลยีที่สองของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีคือ กฎของการจัดเก็บข้อมูลดิจิตอล  หน่วยจัดเก็บข้อมูล ปริมาณการเก็บข้อมูล เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุก ๆปี แต่ต้นทุนกับลดลงการเก็บรักษาประมาณ 100 เปอร์เซ็นต์ต่อปี จำนวนข้อมูลดิจิทัลคือ ประมาณสองเท่าทุก ๆ ปี เกือบทั้งหมดของข้อมูลนี้
• กฎของการจัดเก็บข้อมูลดิจิตอลเป็นจำนวนมาก (The Law of Mass Digital Storage)                                                                  •ปริมาณข่าวสารดิจิตอลจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทุกๆ ปี




3. Metcalfe’s Law and Network Economics                                                                                                                                                         กฎของเมตคาล์ฟและเครือข่ายเศรษฐศาสตร์ Robert Metcalfe ผู้ประดิษฐ์เทคโนโลยีเครือข่ายอีเทอร์เน็ตในประเทศที่อ้างสิทธิ์ 1970 ว่าค่าหรือพลังของเครือข่ายเติบโตขึ้นอย่างมากในฐานะฟังก์ชันของสมาชิกเครือข่าย Metcalfe และอื่น ๆ ชี้ให้เห็นถึงผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นในระดับที่                                                                                                                                                                                    สมาชิกเครือข่ายได้รับเป็นคนมากขึ้นเข้าร่วมเครือข่าย เป็นจำนวนสมาชิกในเครือข่ายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ค่าของระบบทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณและทฤษฎียังคงเติบโตตลอดไปเมื่อสมาชิกเพิ่มขึ้น ความต้องการข้อมูลข่าวสารได้รับแรงหนุนจากมูลค่าทางสังคมและธุรกิจของเครือข่ายดิจิตอล,ซึ่งเพิ่มจำนวนของการเชื่อมโยงที่เกิดขึ้นจริงและอาจเกิดขึ้นระหว่างเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว                • คุณค่าและพลังการทำงานของเครือข่ายเพิ่มขึ้นตามจำนวนสมาชิกในเครือข่าย

• โดยสมาชิกในเครือข่ายจะได้รับผลประโยชน์มากยิ่งขึ้นเมื่อมีจำนวนสมาชิกในเครือข่ายเพิ่มมากขึ้น

4. Declining Communications Costs and the  Internet

                การตัดทอนค่าคอมมิวนิเคชั่นและอินเทอร์เน็ต ไดรเวอร์เทคโนโลยีที่สี่ที่เปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีคือการลดลงของค่าใช้จ่ายอย่างรวดเร็วของการสื่อสารและการเติบโตที่อธิบายในขนาดของอินเทอร์เน็ต ประมาณ 1 พันล้านคนทั่วโลกขณะนี้มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและกว่า 250 ล้านเว็บโฮสต์
                 การใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์สื่อสารและคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ประโยชน์จากมูลค่าทางธุรกิจที่เชื่อมโยงกับอินเทอร์เน็ต บริษัท ต่าง ๆ ต้องมีความชำนาญที่ดี ขยายการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของพวกเขารวมถึงการเชื่อมต่อแบบไร้สายและขยายอย่างมากพลังของไคลเอ็นต์ / เซิร์ฟเวอร์เครือข่ายไคลเอ็นต์เดสก์ท็อปและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่
มีเหตุผลที่จะเชื่อว่าแนวโน้มเหล่านี้จะดำเนินต่อไป
•ค่าใช้จ่ายในการสื่อสารข้อมูลลดลงและระบบอินเทอร์เน็ต
• มีคนประมาณ 1.5 ล้านคนทั่วโลกในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
• เมื่อค่าใช้จ่ายในการสื่อสารข้อมูลลดลง (เข้าใกล้ 0) แต่ระบบการสื่อสารและประมวลผลกลับมีการเติบโตมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
แสดงให้เห็นถึงต้นทุนที่ลดลงอย่างมาก ของการสื่อสารทั้งทางอินเทอร์เน็ตและผ่านทางเครือข่ายโทรศัพท์ (ซึ่งเพิ่มขึ้นจะขึ้นอยู่กับอินเทอร์เน็ต) เป็นค่าใช้จ่ายในการสื่อสารลดลงไปเล็ก

5. Standards and Network Effects
                มาตรฐานและผลกระทบต่อเครือข่าย โครงสร้างพื้นฐานขององค์กรในปัจจุบันและระบบอินเทอร์เน็ตจะเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียวตอนนี้และในอนาคตโดยปราศจากข้อตกลงระหว่างผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายอย่างกว้างขวางการยอมรับมาตรฐานด้านเทคโนโลยีของผู้บริโภค มาตรฐานเทคโนโลยีเป็นข้อกำหนดที่สร้างความเข้ากันได้ของผลิตภัณฑ์และความสามารถในการสื่อสารในเครือข่าย
• ข้อกำหนดที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อให้สินค้าจากบริษัทผู้ผลิตต่าง ๆ สามารถทำงานร่วมกันได้และมีขีดความสามารถในการสื่อสารผ่านระบบเครือข่าย
• ปลดปล่อยพลังอำนาจอัตราส่วนทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายในการผลิตสินค้าลดลงเมื่อบริษัทผู้ผลิตได้เน้นการผลิตสินค้าทีมีมาตรฐานเดียวกัน
คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์แพลทฟอร์ม (Computer Hardware Platforms)


อุปกรณ์ทางกายภาพของคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้อง ที่สามารถมองเห็นและสัมผัสได้
• Client machines : Desktops and mobile computing devices (Notebooks or laptops)
• Server machines : Mainframes, Blade servers (Ultrathin computers consisting of a circuit board with processors, memory and network connections that are stored in racks)
•Major suppliers
- Microprocessors - IBM, Intel, and AMD
- Hardware - HP, IBM, Dell, and Sun
แนวโน้มของคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์แพลทฟอร์ม (Current Trends In Computer Hardware Platforms)
1.THE MOBILE DIGITAL PLATFORM
                สมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตกลายเป็นวิธีสำคัญในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต อุปกรณ์เหล่านี้ใช้มากขึ้นสำหรับการประมวลผลทางธุรกิจเช่นเดียวกับสำหรับการใช้งานของผู้บริโภค  ฮาร์ดแวร์ขยายตัว ซอฟต์แวร์ก็ขยายตาม มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว
2.CONSUMERIZATION OF IT AND  BYOD
•มีการนำอุปกรณ์ส่วนตัวมาทำงานมากขึ้น
•1คนมีมากกว่า1อุปกรณ์
•องค์กรต้องปรับเรื่องนโยบายความปลอดภัย
•ความนิยมนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย บุคลากรสามารถอุปกรณ์มือถือมาใช้ทำงาน ในที่ทำงานได้
3.QUANTUM COMPUTING
                การคำนวณด้วยควอนตัมเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลคอมพิวเตอร์อย่างมากเพื่อหาคำตอบสำหรับปัญหาที่ต้องใช้เวลาหลายปีในการแก้ปัญหาคอมพิวเตอร์ทั่วไป การคำนวณเชิงควอนตัมใช้หลักการของฟิสิกส์ควอนตัมเพื่อแสดงข้อมูลและดำเนินการกับข้อมูลเหล่านี้ คอมพิวเตอร์ควอนตัมจะได้รับพลังการประมวลผลมหาศาลผ่านความสามารถในการที่จะอยู่ในหลายรัฐที่แตกต่างกันในครั้งเดียวช่วยให้สามารถดำเนินการได้หลายอย่างพร้อมกันและแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์และธุรกิจบางครั้งเร็วกว่าที่สามารถทำได้ในวันนี้ นักวิจัยจาก IBM, MIT และห้องปฏิบัติการแห่งชาติ Los Alamos กำลังทำงานเกี่ยวกับการคำนวณด้วยควอนตัมและ บริษัท Lockheed Martin ได้ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ควอนตัมเพื่อการพาณิชย์
4.Virtualization
                ทั้งช่วยลดการใช้พลังงานการจำลองเทคโนโลยีเสมือนจริง เข้าถึงแหล่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ได้หลายวิธีโดยไม่คำนึงถึงตำแหน่งทางภูมิศาสตร์และการกำหนดค่าทางกายภาพ เข้าถึงได้โดยไม่จำกัดสภาพทางกายภาพสามารถทำงานได้ในทรัพยากรที่เราสร้างขึ้น มีเซิร์ฟเวอร์มีตัวเก็บข้อมูล
5.CLOUD COMPUTING
                Cloud Computing คือบริการที่ครอบคลุมถึงการให้ใช้กำลังประมวลผล หน่วยจัดเก็บข้อมูล  การที่เราใช้ซอฟต์แวร์, ระบบ, และทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ ผ่านอินเทอร์เน็ต โดยสามารถเลือกกำลังการประมวลผล เลือกจำนวนทรัพยากร ได้ตามความต้องการในการใช้งาน และให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลบน Cloud จากที่ไหนก็ได้ ทรัพยากรของผู้ให้บริการที่มีทั้ง Hardware และ Software (ซึ่งก็ทำงานบน Hardware ของผู้ให้บริการเช่นกัน) ผู้ใช้บริการเพียงแค่ต่อเชื่อมเข้าไปใช้ผ่าน Network ด้วยเว็บบราวเซอร์ หรือ Client แอพพลิเคชั่น บนอุปกรณ์ต่างๆของตน เช่น มือถือ, Tablet, Notebook, หรือ Chromebook เป็นต้น
6.GREEN COMPUTING
                การประมวลผลที่รักษาสิ่งแวดล้อมทรัพยากรเกี่ยวกับการประมวลผล รักษาสิ่งแวดล้อม อุปกรณ์ที่ใช้จะคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม monitors, printers, storage devices, and  networking and communications system ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมการบริหารจัดการ และเลือกใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการการใช้พลังงาน ลดการใช้พลังงาน 
7.HIGHPERFORMANCE AND  POWERSAVING PROCESSORS
                โปรเซสเซอร์แบบมัลติคอร์เป็นวงจรรวมที่มีแกนประมวลผลตั้งแต่สองตัวขึ้นไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานลดการใช้พลังงานและการประมวลผลงานหลายอย่างพร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีนี้ช่วยให้สองคนหรือมากกว่าเครื่องประมวลผลที่มีความต้องการพลังงานที่ลดลงและการกระจายความร้อนเพื่อดำเนินการได้เร็วกว่าชิปทรัพยากรที่หิวกับแกนประมวลผลเดียว วันนี้คุณจะพบกับพีซีที่มีโปรเซสเซอร์หลักและโปรเซสเซอร์แบบ dual-core, quad-core, 6-core และโปรเซสเซอร์ 8core และโปรเซสเซอร์ 16core

กรณีศึกษา เรื่อง “IS IT TIME FOR CLOUD COMPUTING?
ผลประโยชน์ทางธุรกิจของบริการคลาวด์คอมพิวติ้ง
                จากสิ่งที่เราเรียนรู้ cloud computing หมายถึงประเภทของการประมวลผลที่ขึ้นอยู่กับการใช้ทรัพยากรการใช้งานร่วมกันมากกว่าการมีเซิร์ฟเวอร์หรืออุปกรณ์ส่วนบุคคลเพื่อจัดการกับแอพพลิเคชั่น
มีประโยชน์หลายประการของระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง:
• ช่วยให้ บริษัท สามารถสร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่เนื่องจาก บริษัท มีข้อมูลและการเก็บข้อมูลจำนวนมาก
• สามารถจัดเก็บข้อมูลและข้อมูลจำนวนมากซึ่งจะช่วยลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล
• สามารถให้เราสามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิภาพ
คอมพิวเตอร์ระบบคลาวด์ได้แก้ปัญหาหลายประการ ซึ่งได้แก่ :
• ช่วยให้ บริษัท สามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ที่มีความยืดหยุ่นและจัดเก็บข้อมูลรวมทั้งการจัดการข้อมูลการรับส่งข้อความการชำระเงินและบริการอื่น ๆ สามารถใช้ร่วมกันหรือเป็นรายบุคคลตามที่ธุรกิจต้องการ
• ช่วยให้ลูกค้าสามารถกำหนดปริมาณทรัพยากรด้านคอมพิวเตอร์ได้อย่างเหมาะสมเช่น Amazon ได้เพิ่มบริการแบบอัตโนมัติที่เรียกว่า Cloud Formation
• ปรับปรุงเวลาตอบสนองของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นเนื่องจาก Intercontinental ย้ายระบบการจองห้องพักหลักไปยังระบบคลาวด์ส่วนตัวภายในศูนย์ข้อมูลของตนเอง
ข้อเสียของคลาวด์คอมพิวติ้ง
มีข้อเสียหลายประการของการใช้คลาวด์คอมพิวติ้งได้แก่ :
•ค่าบริการมีราคาแพงกว่า   เมื่อเทียบกับการที่แผนกไอทีของเราเองใช้คอมพิวเตอร์เมฆโดยการจัดการศูนย์กลางของตัวเองจะมีราคาถูกกว่า
•จะมีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดขึ้นมาหากระบบทำงานผิดปกติระบบจะเรียกเก็บเงินเพิ่มเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
•หากไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจะมีเวลาหยุดทำงานที่เป็นไปได้เนื่องจากระบบคลาวด์คอมพิวติ้งขึ้นอยู่กับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต หากอินเทอร์เน็ตใน บริษัท ของคุณไม่แข็งแรงพอเราไม่ต้องการให้คุณใช้คลาวด์คอมพิวติ้ง
•บริการระบบคลาวด์คอมพิวติ้งไม่ได้มีระบบการบริการลูกค้าที่ดีเนื่องจากเป็นการยากที่จะเข้าถึงโทรศัพท์หรืออีเมลและพวกเขาก็ต้องพึ่งพาหน้าคำถามที่พบบ่อย
แนวคิดเรื่องการวางแผนกำลังการผลิตความสามารถในการปรับขนาดและ TCO  ใช้แนวคิดเหล่านี้กับ Amazon และผู้สมัครใช้บริการของตน
                การวางแผนกำลังการผลิตคือความยืดหยุ่นซึ่งหมายถึงความสามารถของคอมพิวเตอร์ผลิตภัณฑ์หรือระบบที่จะขยายเพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้จำนวนมากโดยไม่ทำลายลง ความสามารถในการปรับขนาดคือความสามารถของระบบเครือข่ายหรือกระบวนการที่จะจัดการกับการทำงานที่เพิ่มมากขึ้นในลักษณะที่มีความสามารถหรือความสามารถในการขยายเพื่อรองรับการเติบโตดังกล่าว ความสามารถในการปรับขนาดเกี่ยวข้องกับทั้งสมาชิก Amazon และ AWS Amazon ต้องสามารถให้บริการลูกค้าที่สามารถปรับขนาดได้ตามที่อ้างว่าทำในเว็บไซต์ของ บริษัท : "ใช้ประโยชน์จากความสามารถในการคำนวณและพื้นที่จัดเก็บข้อมูลมหาศาลเพื่อสร้างแอพพลิเคชั่นที่คุณต้องการไม่ว่าจะเติบโตเร็วหรือไม่ก็ตาม ใหญ่แค่ไหน "
                การเป็นเจ้าของต้นทุนโดยรวม (TCO) หมายถึงการประมาณการทางการเงินเพื่อช่วยผู้ซื้อและเจ้าของในการกำหนดต้นทุนทางตรงและทางอ้อมของผลิตภัณฑ์หรือระบบ Amazon ต้องมีการวางแผนกำลังการผลิตฮาร์ดแวร์และความยืดหยุ่น ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ Amazon จะมีลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่แค่ Amazon เท่านั้น แต่ลูกค้าของ Amazon ต้องใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อจัดเก็บข้อมูลและข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้ บริษัท เติบโตขึ้น Amazon ต้องแบกรับ TCO ทั้งหมดของบริการในขณะที่ Amazon จำเป็นต้องรักษาความสามารถในการทำกำไรของ บริษัท ด้วย อย่างไรก็ตามสมาชิกของบริการจะได้รับประโยชน์จากการไม่ต้องกังวลกับปัญหาเหล่านี้
                ในฐานะที่เป็นเทคโนโลยีสารสนเทศและการพัฒนาสังคมมี บริษัท มากขึ้นต้องการบริการเมฆประการแรกข้อมูล บริษัท อินเทอร์เน็ตต้องใช้บริการคลาวด์เช่น Facebook, Google, Instagram, Blogspot, Ebay, ฯลฯ เนื่องจากคลาวด์คอมพิวติ้งสามารถเก็บข้อมูลขนาดใหญ่และแบ่งปันข้อมูลประการที่สอง บริษัท ข้ามชาติขนาดใหญ่หนึ่งในข้อดีของคลาวด์คอมพิวติ้งก็คือผู้คนจากทั่วโลกสามารถเชื่อมต่อได้เร็วขึ้น
ธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์จากการใช้ระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง
             ธุรกิจที่มีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากการใช้คลาวด์คอมพิวติ้งเป็นบริษัทขนาดใหญ่เช่นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ผู้ขายคลังสินค้าธุรกิจออนไลน์เช่น Lazada, Zalora และอีกหลาย บริษัท ที่มุ่งเน้นทางธุรกิจที่มีความต้องการของลูกค้าเป็นจำนวนมาก  เหตุผลคือ
การป้องกันข้อมูลสูญหาย
               อาจทำให้ข้อมูลสูญหายเนื่องจากเก็บข้อมูลไว้และอาจเป็นประโยชน์ในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าและคู่ค้าทางธุรกิจสูญหายซึ่งอาจทำให้การค้าขายหยุดชะงักลงทุกวัน ตั้งแต่การสำรองข้อมูลโดยใช้คอมพิวเตอร์ระบบคลาวด์เป็นเรื่องง่ายอย่างเหลือเชื่อและต้องใช้ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าน้อยลงจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับหลาย บริษัท และจะช่วยประหยัดชื่อเสียงของ บริษัท ด้วย
 การติดตามผลการปฏิบัติงานของพนักงาน
           คอมพิวเตอร์ระบบคลาวด์ไม่เพียง แต่ใช้เพื่อจุดประสงค์ทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้เพื่อเก็บข้อมูลพนักงานและเป็นระบบติดตามอย่างรวดเร็วเพื่อดูประสิทธิภาพของพนักงานเป็นครั้งคราว ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย
  ธุรกิจออนไลน์
              ไม่น่าแปลกใจที่จะบอกว่าธุรกิจออนไลน์จะใช้ระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง ประโยชน์หลักคือพื้นที่เว็บเซิร์ฟเวอร์ ค่าใช้จ่ายในการซื้อการตัดบัญชีและการทำให้เว็บไซต์มีการใช้งานสูงขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคาดว่าจะมีการเข้าชมอย่างมีนัยสำคัญ 
การใช้คอมพิวเตอร์เมฆสำหรับโฮสต์เป็นโซลูชันที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
          การใช้ยูทิลิตีระบบคลาวด์คอมพิวติ้งได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและดูเหมือนว่าจะเป็นวิวัฒนาการตามธรรมชาติของศูนย์ข้อมูลเพื่อประมวลผลข้อมูลและการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบที่ปรับขนาดได้มากขึ้น ด้วยการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญดังกล่าวตลาดมีการเติบโตอย่างรวดเร็วและ บริษัท อื่น ๆ กำลังให้บริการใหม่ด้วยคุณสมบัติที่ดีขึ้นรวมถึงบริการที่แยกต่างหาก มีความยืดหยุ่นมากขึ้นค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ลดลงและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ต่ำกว่ามีเรื่องเกี่ยวกับการย้ายไปยังสถาปัตยกรรมระบบคลาวด์และตัวเลือกระบบคลาวด์ส่วนตัวและไฮบริดที่เสนอการควบคุมและความโปร่งใสทั้งหมดขององค์กรที่ไม่ต้องมีเหตุผลที่จะต้องกลัวระบบคลาวด์ อีกต่อไป เราคาดการณ์ว่าระบบคลาวด์จะเติบโตขึ้นดังนั้นนักพัฒนาซอฟต์แวร์จึงควรคำนึงถึง

1 ความคิดเห็น:

  1. VINYL ARTS WITH DOUBLE TEN SITES
    These titanium rod in leg vinyl rings are crafted by experienced handcrafted veterans of the dance-floor. The titanium auto sales unique design titanium bar stock of these earrings creates the titanium nose stud perfect $2.00 titanium straightener · ‎In stock

    ตอบลบ